วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หลวงปู่เสน ปัญญาธโร


หลวงปู่เสน  ปัญญาธโร
http://www.dhamma5minutes.com/picture2.php?id=2&num=4&wpid=0071&user=dhamma5minutes.com         





                   



                 นางสิริพร  ทาชาติ
โรงเรียนบ้านโนนสมบูรณ์                          
อำเภอประจักษ์ศิลปาคม        จังหวัดอุดรธานี
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 2
คำนำ
           หนังสือเล่มเล็ก  เรื่อง  หลวงปู่เสน  ปัญญาธโร  ฉบับนี้  ผู้เขียนได้ยึดเนื้อหาจากการกราบเรียนถาม  องค์หลวงปู่โดยตรง      
           สิ่งสำคัญในหนังสืออยากจะบอกผู้อ่าน คือ ในยุคนี้ยังมีภิกษุที่ประพฤติดีประพฤติชอบ  มีความมุ่งมั่นตั้งใจอบรมสั่งสอน  เผยแผ่พระพุทธศาสนา  มีความเมตตาสูงมาก  และมีความจงรักภักดีต่อชาติ  ศาสนา  และพระมหากษัตริย์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้  จึงเป็นประวัติพ่อแม่ครูอาจารย์ที่น่าศึกษาค้นคว้าอย่างยิ่ง 
              หนังสือเล่มเล็ก  เรื่อง  หลวงปู่เสน  ปัญญาธโร  ฉบับนี้  จึงเป็นหนังสือที่ช่วยให้เราให้เห็นถึงความพากเพียรพยายาม  ในการบำเพ็ญบารมีที่มิใช่เพียงการหลุดพ้นส่วนตน  แต่เพื่อสั่งสอนชี้ทางธรรมให้กับมนุษยชาติได้หลุดพ้นจากบ่วงทุกข์ด้วย
                                                                                                                
                                                   สิริพร  ทาชาติ                                                                                                          
                                               27  เมษายน   2556 


วัตถุประสงค์  
          
            หนังสือเล่มเล็ก  เรื่อง  หลวงปู่เสน  ปัญญาธโร  จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ 
            เพื่อกระตุ้นและปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน 
            เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในคุณค่าของประวัติพุทธสาวก  ให้กับเด็กและเยาวชน  ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นยึดมั่นในศีลในธรรม  ขยันหมั่นเพียร  ความเด็ดเดี่ยว  ความมีน้ำใจของและความกตัญญูของหลวงปู่เสน  ปัญญาธโร 
            เพื่อมอบธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่สน  ปัญญาธโร
แก่ท่านผู้อ่าน 
https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSMnAesPWiZ4D28ihVXZZUqJLfsLEgWSxIoib0S8WT0WZXUm53n         




ชีวประวัติ
หลวงปู่เสน  ปัญญาธโร
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjeze5d6uvzCmQ1UFpnnl8oXru-46LsqyT3g18LWnpdsYqjtWLxejF2bPFZMlSAVpluLCDMa9Mah5aj10FqhHpEMyUx-qv2D0GXGuU9wsKMypFL7WRHT1Jr5SaMGkpsD_bIh4iWafAcvko/s1600/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99+%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B9%82%E0%B8%A3.jpeg
 














ชาติภูมิ
นามเดิม      ชื่อ  ประเสน  ชัยพันธุ์ 
                   ต่อมาบิดาของหลวงปู่ได้เป็นทหารจึงเปลี่ยน
                   นามสกุลเป็น  จงประสม   
เกิด             วันที่    ธันวาคม  2477
ถิ่นกำเนิด    บ้านหนองอ้อใหญ่  ตำบลในเมือง 
                   อำเภอเมือง  จังหวัดกาฬสินธุ์ 
บิดา           โยมมารดาชื่อ  นายสี  จงประสม
มารดา        โยมมารดาชื่อ  พร  จงประสม
พี่น้อง         มีพี่น้องร่วมบิดามารดา  9  คน
                   (ชาย  คน  หญิง  คน)
https://encrypted-tbn3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTMsTYR5RIjofupIs_6bUozxLUWgxZauys5uSjIQmY4vx_RGOTvKA
 


                  

การศึกษา
        หลวงปู่จบชั้นประถมศึกษาปีที่  ซึ่งเป็นความรู้ชั้นสูงสุดที่มีในยุคนั้น  ในสมัยนั้นถ้าเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ก็สามารถเข้ารับราชการบรรจุเป็นครูได้
http://www.watnawong.ac.th/_files_school/92103200/news/92103200_0_20111231-161502.jpg
 






          ในสมัยหลวงปู่  ไม่มีสมุดจดบันทึกวิชาความรู้ 
ใช้กระดานชนวน  และดินสอพอง
http://sphotos-a.xx.fbcdn.net/hphotos-snc6/s480x480/179342_10151242332947226_1754884336_n.jpg
 




เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ เคยได้รับการปรนนิบัติจากสามเณรน้อยรูปหนึ่งชื่อ สามเณรเสน สามเณรน้อยรูปนี้อยู่กับท่านมานาน แล้วได้จากหายไป จนสึกออกไปมีภรรยาและบุตร แม้เณรจะจากท่านไปเป็นเวลานานท่านก็ยังจำได้เป็นอย่างดี
อยู่มาวันหนึ่ง หลวงปู่บัว ได้พูดคุยกับหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโมพระลูกชายของท่านว่า
เอ.. เณรน้อยคนนั้น  ไปไหนหนอ  ได้เป็นไข้มาลาเรีย..เราพยายามรักษาเณรจวนจะหายแล้วหนีจากเราไป ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหน
http://www.dhammajak.net/board/files/_3_610.jpg
 





หลังจากหลวงปู่ปรารภถึงสามเณรน้อยของท่านได้เพียง ๒ วันเท่านั้น สามเณรของท่านก็กลับมา แต่มาในฐานะพระภิกษุเสน ปญฺญาธโร บวชได้ ๒ พรรษาแล้ว การปรารภของหลวงปู่ในครั้งนั้นเหมือนท่านได้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
ต่อมาภายหลัง พระอาจารย์เสน ได้รับมอบภาระให้เป็นเจ้าอาวาส ปกครองวัดป่าบ้านหนองแซง สืบต่อจากหลวงปู่ ได้ทำการพัฒนาวัดจนเจริญรุ่งเรืองมาโดยลำดับ จนกระทั่งปัจจุบัน
DSC04472.JPG
 







ผลงานของหลวงปู่เสน  ปัญญาธโร
1.            ปลูกป่าติดต่อกันมาเป็นเวลา  30  ปี
2.            จัดตั้งบ้านพักคนชรา  ดูแลผู้สูงอายุด้วยวิถีพุทธ
3.            จัดทำแท่นมหัศจรรย์  เพื่อสุขภาพ
4.            จัดทำน้ำมันสมุนไพรรักษาโรค
5.            จัดสร้างโรงพยาบาลหลายแห่งในจังหวัดอุดรธานี
6.            จัดทำสระเก็บน้ำขนาดใหญ่เก็บกักน้ำไว้ใช้
7.            จัดสร้างถังประปาขนาดใหญ่ส่งน้ำให้ชุมชนหลายหมู่บ้านได้ใช้
8.            ช่วยเหลือดูแลรักษาผู้สูงอายุที่เป็นโรคอัมพฤกษ์อัมพาต
9.            อบรมสั่งสอนวิชาชีพงานช่างต่าง ๆ  แก่ผู้ที่มีความสนใจ
10.    อบรมสั่งสอนศีลธรรมจริยธรรม  สมาธิกรรมฐาน  แก่บุคคลที่มีความสนใจ
11.    ผลิตน้ำหมักชีวภาพใช้เป็นปุ๋ยบำรุงพืช
12.    ผลิตน้ำพริกปลาร้าบริจาคแก่ประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม
13.    เมตตาช่วยเหลือปัจจัยสี่แก่ภิกษุสงฆ์  ประชาชน  นักเรียน  ผู้ที่ขาดแคลน
14.    บริจาคที่ดิน  วัว  ควาย  แก่ชาวบ้าน
15.    บริจาคทองคำช่วยชาติ  แก่โครงการช่วยชาติ
16.    จัดสร้างโรงเรียนหลายแห่งในจังหวัดอุดรธานี
DSC02377.JPG
 








ระเบียบและข้อปฏิบัติ  วัดป่าหนองแซง
          หลวงปู่ท่านเน้นความมีระเบียบวินัย  พระเณรทุกรูปต้องทำตนเป็นผู้มีสัจจะ  และข้อวัตรทุกเมื่อ
         ข้อวัตรกลางวัน  พอรุ่งสว่างเป็นวันใหม่  พระเณรทุกรูปนำบริขารของตนที่เกี่ยวกับการฉัน  ลงรวมบนศาลาโรงฉัน  จัดให้ได้ระเบียบและทำสะอาดบนศาลา  พอถึงเวลาที่เที่ยวภิกขาจารบิณฑบาต  ต่างองค์ก็เตรียมนุ่งสบงจีวรซ้อนสังฆาฏิ  ไปเที่ยวบิณฑบาตตามที่จัดไว้
DSC01199.JPG
 





เมื่อกลับมาพร้อมเพรียงกันแล้ว  จัดอาหารเสร็จ  ก็เริ่มลงมือฉัน  เมื่อฉันเสร็จแล้ว  ทำข้อวัตรของตนและช่วยกันทำข้อวัตรศาลาจนสะอาด  เก็บเครื่องบริขารขึ้นกุฏิ  ต่อจากนั้นลงสู่ทางจงกรม  เดินจงกรมไปจนถึง 5 ชั่วโมง  ทำข้อวัตรสำหรับตน  แล้วลงกวาดตาดทำความสะอาดบริเวณวัด  และจัดหาน้ำฉัน  ตลอดจนสรงน้ำเรียบร้อย  เตรียมลงทำวัตรเย็น  ทำสมาธิ  ต่อประมาณ ชั่วโมง
DSC01154.JPG
 






               มีบาตรอยู่หนึ่งใบไปโปรดหมู่  
   ตอนเช้าตรู่ทุกวันนั้นสดใส
   เย็นทำวัตรที่ศาลาทุกครั้งไป   
   สร้างนิสัยปัจจัยให้ได้ดี
   กวาดลานวัดกวาดล้างใจให้สะอ้าน
   กิจการงานสอนจิตทุกวันวี่
   เดินจงกรมภาวนาที่กุฎี  
DSC08263.JPG    แสนสุขศรีนี่คือสงฆ์องค์หนองแซง





คำสอนของหลวงปู่เสน  ปัญญาธโร 
             ความทุกข์  มีได้ตอดเวลา  ไม่ว่าจะเสียทรัพย์สิน  น้ำท่วม  เป็นหนี้เป็นสิน  อยากได้แล้วไม่สมหวัง  หรือได้รับสิ่งที่เราไม่ชอบ  หรือต้องเป็นในสิ่งที่เราไม่ชอบ  แต่ความทุกข์ที่หนักมาก ๆ  คือความเจ็บป่วย  และความตาย  ซึ่งอาจจะทำให้เรื่องน้ำท่วมบ้านเป็นเรื่องเล็กไปเลย  เมื่อเทียบกับการพบว่า  เราหรือคนที่เรารักที่สุดเป็นโรคร้ายแรงความทุกข์ในหัวข้อนี้ ไม่ใช่ทุกข์น้อย ๆ  แต่เป็นทุกข์ระดับมะเร็ง  เอาแบบที่รักษาไม่หายนั่นเลยที่เดียว
DSC02412.JPG
 





           โลกของเรามีความสุขที่แท้จริง  มีความทุกข์ที่แท้จริงหรือไม่  ตอบว่า  มีเพราะโลกเรามีทั้งสุขและทุกข์  และไม่สุขไม่ทุกข์  ทั้งสองอย่างเกิดได้กับทั้งกายและใจ  เพียงแต่ไม่เที่ยง  ไม่เหมือนความทุกข์ยั่งยืนกว่า  และความทุกข์นั้นบางอย่างดูเที่ยงแท้กว่ากันมาก
DSC01316.JPG
http://sphotos-a.xx.fbcdn.net/hphotos-snc6/c0.0.400.400/p403x403/185071_427423877316613_522116226_n.jpg
 








http://www.thaifilm.com/imgUpload/reply906801_008.jpg         เมื่อมีความทุกข์แล้ว  การจะหาความสุขไม่ใช่ของยากอะไรเลย  ไปหาของสนุกทำ  ไปกินของอร่อย ๆ  ไปฟังเพลงเพราะ ๆ  หรือหาของถูกใจทำ  ก็มีความสุขได้  เพียงแต่ทำใจให้ลืม ๆ  ความทุกข์นั้นนิดหน่อย  อย่าไปคิดถึงมาก  กลบ ๆ  มันไปแบบนี้ก็ใช้ได้  คือ  คิดบวกไว้  อย่าคิดลบ  ดังตัวอย่างว่าถ้าในห้องนอนเรามีถังขยะกับแจกันใส่ดอกไม้หอมสวย  ถ้าเอาอะไรไปทิ้งไม่ได้เลย  ก็ต้องไปดูไปชมดอกไม้ให้มาก ๆ  ส่วนขยะอย่าไปดูอย่าไปดมมัน  ให้มองข้ามมันไป





        แต่เมื่อมีความทุกข์  คิดจะดับทุกข์นั้นยากกว่า  เพราะทุกข์บางอย่างมันลึกซึ้งนัก  เสมือนมีดบาดใจ  คิดทีไรก็แปล๊บ  แปล๊บทุกที  ไม่มีหาย  เสมือนแก้วร้าวฉาน  จะประสานดั่งเดิมได้อย่างไร  เช่น  อกหัก  ลูกตาย  ลูกพิการ  สามีตาย  หรือเราเป็นมะเร็ง  เราจะต้องตายเร็ว ๆ  นี้แล้ว  เราติดเอดส์แล้วหรือนี่  สิ่งเหล่านี้ลองได้เกิดกับตัวเราจะมีทุกข์อันลึกซึ้งนัก  แม้จะดูหนังฟังเพลง  หัวเราะมีความสุขอยู่กับคนรอบข้าง  แต่ถ้าคิดเรื่องทุกข์นี้ขึ้นมา  ก็เหมือนมีมีดมาแทงใจทุกครั้ง  เหมือนมีสายฟ้าฟาดลงไปที่หัวใจ  ความสุขที่มีจะลดดีกรีลงไปทันที
DSC01287.JPG
 




         ทำอย่างไรจะให้ความทุกข์นั้นหายไป  พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้แต่ท่านสอนเอาไว้อย่างไร
         ท่านสอนว่า  ทุกข์นั้นมีจริงและอยู่คู่โลก  ที่สำคัญ  มันไม่ได้เกิดกับเราคนเดียว  เกิดกับคนทั้งโลกในรูปแบบต่าง ๆ  กัน  สุดแต่กรรมที่ทำมา  เกิดได้กับทุกคน  เพียงแต่เราเพิ่งจะเจอเท่านั้น  เราเพิ่งจะโดนกับตัวเอง  คนอื่น  ๆ  เขาโดนมาก่อนแล้วทั้งนั้น  เพียงแต่บางคนก็ตายไปแล้ว  คนที่ตายไปแล้วในโลก  ล้วนมีความทุกข์มาแล้วทั้งนั้น  ส่วนคนที่ยังเป็น ๆ  อยู่  บ้างก็อยู่ในสถานที่ที่เราไม่รู้  เราจึงอาจจะไม่ค่อยเจอ  แต่ถ้าลองนำมารวมกัน  จะเห็นว่าเต็มโลกไปหมดเหมือนกันคนที่ลูกตายหรือพิการก็มีเต็มไปหมด  คนเป็นมะเร็งมารวมกันก็มีเต็มไปหมด 
DSC02393.JPG
 



DSC02387.JPG           เราไปรู้สึกเองว่า  ทำไมต้องเป็นเรา  ก็เพราะเราเพิ่งจะเจอ  ถ้าไม่มีความทุกข์  ก็คงไม่มีพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  เพราะมีความทุกข์  จึงมีพระพุทธเจ้า  ผู้ที่เห็นว่าเรื่องทุกข์นี้ช่างหนักหนาจริง ๆ  ความแก่  ความเจ็บ  ความตาย  เลี่ยงไม่ได้  ความพลัดพรากต้องมีขึ้นจริง  ความไม่เที่ยงของความสุข  สุดท้ายจะดับได้ด้วยความเจ็บ  ความตาย    และความพลัดพราก  ทุกข์นี้ต้องเจอ  มันมีอยู่จริง ๆ  พระพุทธองค์เมื่อยังเป็นเจ้าชายอยู่  ท่านคิดเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง  จนทุ่มชีวิตสละความสุข  หาวิธีจัดการกับความทุกข์  ให้แก่ชาวโลกและคนที่ตนรัก  ทั้งคิดวิธี  ทั้งลองปฏิบัติ  จัดการกับเรื่องนี้จนดับทุกข์ได้  ถ้าไม่มีพระองค์ท่าน  ไม่มีพระพุทธศาสนา
  


DSC08882.JPG         ทุกข์  นั้นมีจริง  แล้วจะทำอย่างไร  ท่านสอนว่าให้เพียงแต่กำหนดรู้  กำหนดรู้เฉย ๆ  ว่ามันมีจริงแล้วก็เพียงพอแล้ว  อย่าไปคิดวนเวียนให้มาก  อย่าไปหลงเฝ้าพิจารณาหมั่นคิดในเรื่องนี้  จากนั้นให้รู้ว่า  สาเหตุมันมี  คือ  ความอยาก  ภาษาธรรมเรียกว่า  ตัณหา  คือ  อยากมี  อยากเป็น  ไม่อยากมีไม่อยากเป็น  เรื่องตัณหาเป็นสิ่งที่ควรจะละ  แต่จะละมันได้อย่างไรว่ากันอีกที  จากนั้นทรงสอนว่า  ความดับทุกข์นั้นมีได้จริง ๆ  ไม่ใช่มีไม่ได้  ภาษาธรรมเรียกว่า นิโรธ





           สุดท้ายทรงสอนวิธีความดับทุกข์  เรียกว่า  มรรค  ซึ่งมรรคนี่แหละ  คือสิ่งที่เราควรทำให้มาก  (ท่านใช้คำว่า  ควรเจริญ  แปลว่ากระทำให้มาก)  ควรคิดเรื่องนี้  ควรพิจารณาเรื่องนี้  ควรทำเรื่องนี้  เมื่อทำมากพอ  ความทุกข์จึงจะหายไป  ทั้งหมดนี้  อย่าทำผิดหน้าที่  ความรู้นี้เรียกว่า  อริยสัจสี่
http://www.palungjit.com/buddhism/gallery/data/540/medium/800px-Enlightenment.jpg                                            






       ทุกข์    คือ  สิ่งที่เราควรกำหนดรู้
       สมุทัย  สาเหตุของทุกข์  คือ  สิ่งที่เราควรละ
        นิโรธ  ความดับทุกข์  คือ  สิ่งที่เราควรทำให้มีขึ้น
        มรรค  คือ  สิ่งที่เราควรกระทำให้มาก
        ดังนั้นมีทุกข์  อย่าไปวนเวียนในความทุกข์ให้มาก  ยิ่งวนเวียนมากจะยิ่งทุกข์มาก  มีหนังสือเล่มหนึ่งเขียนไว้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า  เหมือนลิงมือเปื้อนกะปิ  มันก็ดม  แล้วก็ถูพื้น  ตั้งใจจะให้กลิ่นออกหายไปจนมือถลอก  เฝ้าดมถู  ดมถูอยู่นั่นแหละ  มันต้องแก้ด้วยการล้างในทำนองเดียวกัน  เมื่อมีทุกข์จะไปวนเวียนคิดถึงมันทำไมเล่า  มันต้องแก้ด้วยมรรค  คือ  ศีล  สมาธิ  ปัญญา
DSC04173.JPG
 





DSC04512.JPG           ศีล  ต้องตั้งใจทำ  ให้สมาทานทันทีว่า  เราจะเว้นห้าประการ  คือ  ไม่ฆ่า  ไม่เบียดเบียนสัตว์  ไม่ลักทรัพย์  ไม่ประพฤติผิดในกาม  ไม่โกหก  ไม่ดื่มสุรา  เมื่อตั้งใจอย่างจริงจัง  ศีลจะเกิดขึ้นทันที  โดยไม่ต้องไปขอศีลจากใครก็ได้  ส่วนสมาธิเกิดได้จากสองอย่างคือ  จากการเจริญสติ  หรือเพ่งกสิณ  จะดูลมหายใจ  ดูความคิด  บริกรรม  พุทโธ  สัมมาอะระหัง  ยุบหนอพองหนอ  ทำสติกับการยกมือ  ต่างก็ทำได้ทั้งนั้น  ส่วนปัญญาเกิดจากการอ่าน  การศึกษา  และคิดบ่อย ๆ  ในสิ่งที่ควรคิด 





        ความเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  เป็นเรื่องธรรมดา  ใคร ๆ  ก็เป็น  ไม่ว่าใครต่างก็ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจด้วยกันทั้งสิ้น  ส่วนร่างกายและจิตใจนั้น  ที่แท้แล้วไม่ใช่ตัวเราของเรา  เพราะเป็นของไม่เที่ยง  ไม่ได้ตั้งใจ  นึกจะให้ไม่ป่วยมันก็ป่วย  นึกจะให้ไม่เจ็บได้  เป็นต้น  ให้คิดอย่างนี้บ่อย ๆ  ท่องเอาไว้เป็นคาถาเลยก็ได้  และเมื่อศีลดี  สมาธิดี  จะส่งเสริมปัญญาให้แรงกล้าขึ้นเรื่อย ๆ 
DSC04478.JPG
 

           




DSC02867.JPG            จนไม่มีความทุกข์  คือ  ตัดทุกข์จากใจได้หมดเลย  เสมือนถูไม้สีไปสีมา  เมื่อมีเหตุมีปัจจัยมากพอ  จะเกิดไฟติดพรึบ  ตัดความมืดออกไปทันที  ใจจะสว่างสงบ  หมดความทุกข์อย่างสิ้นเชิง  เราต้องเฝ้าถูไม้  ทำปัจจัยที่จะเกิดไฟให้มีขึ้น  เสี่ยงปัจจัยที่จะทำให้ไฟไม่ติด  เช่น  ความชื้น  เรามีหน้าที่อย่างนี้



http://i.ytimg.com/vi/bYwLktLDmWo/0.jpg,DSC02907.JPG
 








https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgmMlmvDi-KMP7ZoU_PtLjeMHX1RrqZCvJIZakf4OOmW7hNZQJAVoKM04snMPLOLKmo8LYCsJct5gOOZpxSVdEqi7xU9W3rgVh2L1k-2vUWD4ALxIOF3rd9wp1GiAYcKi-Ld90VhCDv2jg/s1600/P_5_6.jpg         





DSC02944.JPG
 


คำเทศนาของหลวงปู่ที่ท่านพูดเน้นย้ำสม่ำเสมอ
                 การเอาชนะตนได้ หมายถึงการเอาชนะใจตนเอง โดยไม่ยอมให้จิตของตนตกไปในฝ่ายต่ำ ต้องสามารถเอาชนะด้วยการควบคุมจิตของตนให้อยู่ในอำนาจ อาจบังคับบัญชาให้ตัดกิเลส คือสิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมองทำให้จิตใจขุ่นมัว อันจะชักจูงให้ไปสู่ความประพฤติชั่วฯ ท่านจึงแนะนำสั่งสอนให้ทุกคนเอาชนะตนเองให้ได้
               พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ
พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี พึงชนะคนตระหนี่ ด้วยการให้
พึงชนะคนพูดเหลวไหล ด้วยความจริง
DSC04352.JPG
 




               สติ หมายถึง ความระลึกได้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ "ให้รู้สึกตัว" ให้รู้สึกตัวในการเคลื่อนไหว กระพริบตาก็รู้ หายใจก็รู้ จิตใจมันนึกมันคิดก็รู้  การเคลื่อนไหวเป็นสาระสำคัญของการเจริญสติ ถ้าหากเรานั่งนิ่งๆ ไม่มีการเคลื่อนไหว พอดีมันเกิดขึ้นมา เราก็เลยไปรู้กับความคิด มันเป็นการเข้าไปอยู่ในความคิดเพราะไม่มีอะไรดึงไว้ ดังนั้นจึงมีการฝึกหัดการเคลื่อนไหวของรูปกาย ให้รูปกายเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ถ้าเรามีสติรู้อยู่กับการเคลื่อนไหวของรูปกาย เมื่อใจคิดขึ้นมา เราจะเห็น เราจะรู้
DSC02868.JPG
 






http://udn.onab.go.th/plugins/content/plugin_jw_sig/showthumb.php?img=gallery/wat_d/panongcang/DSC02813-14.JPG&width=200&height=200&quality=80          การปฏิบัติธรรมปฏิบัติลงที่ กาย วจา ใจ กายคือความประพฤติปฏิบัติทางกายที่ปรกติ วาจาคือพูดจาดี พยายามอย่าพูดคำเสียดสีบุคคลอื่น ให้เอาใจเขามาใส่ใจเราเรื่องการพูดจากระทบกระทั่งกัน เป็นคนพูดจาดี พูดในสิ่งที่ควรพูด ใจคืออยู่ที่หัวใจ เป็นความรู้สึกของใจ ไม่ว่าจะรัก โลภ โกรธ หลง ล้วนเกิดขึ้นที่ใจ ในเบื้องต้นให้ทำบุญให้ทานบ้าง แล้วรักษาศีล และเจริญภาวนา การภาวนาควรภาวนาอริยสัจสี่ นี้คือทางนิพพาน มรรค 8 นี้แหละทางนิพพาน และให้เป็นผู้มีสติอยู่เสมอ พยายามยับยั้งชั่งใจในการกระทำที่เป็นกิเลสหรือสิ่งผิด




บรรณานุกรม
http://udn.onab.go.th
หลวงปู่เสน  ปัญญาธโร.  วัดป่าหนองแซง 
              ต.หนองบัวบาน  อ.หนองวัวซอ  จ.อุดรธานี.












8ประวัติผู้จัดทำ

    ชื่อ สกุล             นางสิริพร  ทาชาติ
    ตำแหน่ง                ครู  วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ
    วัน  เดือน  ปี  เกิด   24   มิถุนายน  2504
    ภูมิลำเนา               61  หมู่ 8    ตำบลห้วยสามพาด
                                 อำเภอประจักษ์ศิลปาคม  
                                 จังหวัดอุดรธานี
      วุฒิการศึกษา       ปริญญาโท    วิจัยวัฒนธรรมศาสตร์ 
                                     มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
        ที่ทำงาน               โรงเรียนบ้านโนนสมบูรณ์  
                                     อำเภอ  ประจักษ์ศิลปาคม
                                     จังหวัดอุดรธานี
                                     สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
                                     ประถมศึกษาอุดรธานี  เขต  2